วิชาผู้กำกับลูกเสือ – เนตรนารีขั้นความรู้เบื้องต้น
ประวัติลูกเสือไทย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ทวีปยุโรป ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงทราบเรื่องการสู้รบเพื่อรักษาเมืองมาฟิคิง (Mafeking) ของ ลอร์ดเบเดน โพเอลล์ (Lord Baden Powell) ซึ่งได้ตั้งกองทหารเด็กเป็นหน่วยสอดแนมช่วยรบในการรบกับพวกบัวร์ (Boar) จนประสบผลสำเร็จ และได้ตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2450 เมื่อพระองค์เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทย ก็ได้ทรงจัดตั้งกองเสือป่า (Wild Tiger Corps) ขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2454 มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนได้เรียนรู้วิชาทหาร เพื่อเป็นคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง รู้จักระเบียบวินัย มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ก็ได้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2454 ด้วยทรงมีพระราชปรารภว่า เมื่อฝึกผู้ใหญ่เป็นเสือป่า เพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองแล้ว เห็นควรที่จะมีการฝึกเด็กชายปฐมวัยให้มีความรู้ทางเสือป่าด้วย เมื่อเติบโตขึ้นจะได้รู้จักหน้าที่และประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
จากนั้น ทรงตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธ ในปัจจุบัน) และจัดตั้งกองลูกเสือตามโรงเรียน ต่าง ๆ ให้กำหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้น รวมทั้งพระราชทาน คำขวัญให้ลูกเสือว่า “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ ” ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรก คือ นายชัพท์ บุนนาค ซึ่งต่อมา ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “นายลิขิตสารสนอง”
จากนั้น ทรงตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธ ในปัจจุบัน) และจัดตั้งกองลูกเสือตามโรงเรียน ต่าง ๆ ให้กำหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้น รวมทั้งพระราชทาน คำขวัญให้ลูกเสือว่า “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ ” ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรก คือ นายชัพท์ บุนนาค ซึ่งต่อมา ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “นายลิขิตสารสนอง”


ปี พ.ศ. 2465 คณะลูกเสือไทย ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมัชชาลูกเสือโลก ซึ่งขณะนั้นมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 31 ประเทศ ประเทศทั้ง 31 ประเทศนี้ นับเป็นสมาชิกรุ่นแรก หรือสมาชิกผู้ก่อการจัดตั้ง (Foundation Members) สมัชชาลูกเสือโลกขึ้นมา
ปี พ.ศ. 2467 ได้จัดส่งผู้แทนคณะลูกเสือไทย 10 คน ไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก ครั้งที่ 2 ณ ประเทศเดนมาร์ก
ปี พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกาย 2468
พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911)
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงก่อตั้งกิจการลูกเสือไทย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920)
- ส่งผู้แทนคณะลูกเสือไทยไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก ครั้งที่ 1 ณ ประเทศอังกฤษ
พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922)
- คณะลูกเสือแห่งชาติ เข้าเป็นสมาชิกสมัชชาลูกเสือโลก
พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924)
- ส่งผู้แทนคณะลูกเสือไทยไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก ครั้งที่ 2 ณ ประเทศเดนมาร์ก
พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927)
- จัดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 1 (1st National Jamboree)
พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956)
- เป็นสมาชิกของสำนักงานลูกเสือภาคตะวันออกไกล ซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้น ขณะนั้นมีประเทศสมาชิกอยู่ 10 ประเทศ
พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)
- เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีการลูกเสือไทย
พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962)
- เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้บังคับบัญชาลูกเสือภาคตะวันออกไกล ครั้งที่ 3 (3rd Far East Scout Conference) ณ ศาลาสันติธรรม
ประวัติลูกเสือโลก
โรเบิร์ต สตีเฟนสัน สไมธ์ เบเดน-โพเอลล์ (Robert Stephenson Smyth Baden - Powell) หรือ มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า ลอร์ด เบเดน-โพเอลล์ และรู้จักกันดีในวงการลูกเสือในนาม บี.พี. (B.P.) คือผู้ที่ให้กำเนิดกิจการลูกเสือ (SCOUT) ขึ้นมาในโลกใบนี้ การกำเนิดของลูกเสือไม่ได้เกิดข เพียงข้ามคืน แต่บ่มเพาะอยู่ในตัวของท่าน บี.พี. มาอย่างยาวนาน
บี.พี. มีพี่น้อง 7 คน อยู่กับมารดา โดยกำพร้าบิดาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ในวัยเด็กของท่านแสดง
ให้เห็นถึงนิสัยรักผจญภัย และชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง ท่านมักจะเดินทางไกลไปพักแรมร่วมกับ
พี่น้องของท่านตามที่ต่าง ๆ ในอังกฤษ ชอบท่องเที่ยวในป่ารอบโรงเรียน ซุ่มดูสัตว์ต่าง ๆ
นอกจากนั้น ยังเป็นผู้รักษาประตูมือดี และเป็นนักแสดงละครที่ได้รับความนิยมในโรงเรียน
รวมทั้งรักดนตรี และวาดภาพอีกด้วย
เมื่ออายุได้ 19 ปี ท่านได้เข้าร่วมกับกองทหารม้าของอังกฤษไปประจำอยู่ที่อินเดีย ความสามารถอันโดดเด่นด้านการใช้ชีวิตกลางแจ้งของท่าน แสดงให้เห็นจากการที่ท่านได้รับรางวัลการล่าหมูป่าบนหลังมาด้วยหอกเล่มเดียว (Pig Sticking) ซึ่งเป็นกีฬาที่อันตราย และได้รับความนิยมอย่างมาก
ในปี ค.ศ. 1887 บี.พี. ได้ไปประจำการอยู่ในแอฟริกา ซึ่งต้องรบกับชนเผ่าพื้นเมือง ที่ป่าเถื่อนดุร้าย ไม่ว่าจะเป็น ซูลู อาซันติ หรือมาตาบีลี และด้วยความสามารถของท่านใน การสอดแนม การสะกดรอย รวมทั้งความกล้าหาญของท่าน ทำให้ท่านเป็นที่หวาดกลัวของบรรดาชนพื้นเมืองจนถึงกับตั้งฉายาท่านว่า "อิมปีซ่า" (Impeesa) หมายความว่า
"หมาป่าผู้ไม่เคยหลับนอน" และด้วยความสามารถของท่าน ทำให้ท่านได้เลื่อนยศอย่าง รวดเร็ว
ในปี ค.ศ. 1889 อังกฤษมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐทรานสวาล
พันเอก เบเดน-โพเอลล์ ได้รับคำสั่งให้นำทหารม้าสองกองพันเดินทางไปป้องกันเมืองมาฟอีคิง ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะตั้งอยู่ใจกลางของแอฟริกาใต้ ที่นี่เองเป็นสถานที่ที่ทำให้ท่านได้รับชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ในการรักษาเมืองไว้จากเงื้อมมือของข้าศึกที่ล้อมอยู่ด้วยกำลังมากกว่าอย่างมหาศาลไว้ได้ถึง 217 วัน จนกระทั่งกองทหารของอังกฤษได้บุกเข้าไปช่วยเหลือเป็นผลสำเร็จ หลังจากศึกคราวนี้ ท่านได้เลื่อนยศเป็นพลตรี และได้รับการนับถือจากชาวอังกฤษให้เป็นวีรบุรุษ
ในปี ค.ศ. 1901 บี.พี. เดินทางกลับไปยังอังกฤษ และด้วยชื่อเสียงของท่านในฐานะวีรบุรุษ ทำให้หนังสือที่ท่านเขียนขึ้นเพื่อให้ทหารอ่าน ชื่อ "Aids to Scoutting" หรือ "การสอดแนมเบื้องต้น" ได้รับความนิยมจนกระทั่งนำไปใช้เป็นแบบเรียนในโรงเรียนชายมากมาย จุดนี้เอง ทำให้ บี.พี. เกิดประกายความคิดถึงโอกาสที่จะพัฒนาเด็กอังกฤษให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง เพราะถ้าหนังสือสำหรับผู้ใหญ่เกี่ยวกับการปฏิบัติการสอดแนม สามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้ ถ้าท่านทำหนังสือสำหรับเด็กโดยเฉพาะก็คงจะได้ผลมากยิ่งขึ้น
ให้เห็นถึงนิสัยรักผจญภัย และชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง ท่านมักจะเดินทางไกลไปพักแรมร่วมกับ
พี่น้องของท่านตามที่ต่าง ๆ ในอังกฤษ ชอบท่องเที่ยวในป่ารอบโรงเรียน ซุ่มดูสัตว์ต่าง ๆ
นอกจากนั้น ยังเป็นผู้รักษาประตูมือดี และเป็นนักแสดงละครที่ได้รับความนิยมในโรงเรียน
รวมทั้งรักดนตรี และวาดภาพอีกด้วย
เมื่ออายุได้ 19 ปี ท่านได้เข้าร่วมกับกองทหารม้าของอังกฤษไปประจำอยู่ที่อินเดีย ความสามารถอันโดดเด่นด้านการใช้ชีวิตกลางแจ้งของท่าน แสดงให้เห็นจากการที่ท่านได้รับรางวัลการล่าหมูป่าบนหลังมาด้วยหอกเล่มเดียว (Pig Sticking) ซึ่งเป็นกีฬาที่อันตราย และได้รับความนิยมอย่างมาก
ในปี ค.ศ. 1887 บี.พี. ได้ไปประจำการอยู่ในแอฟริกา ซึ่งต้องรบกับชนเผ่าพื้นเมือง ที่ป่าเถื่อนดุร้าย ไม่ว่าจะเป็น ซูลู อาซันติ หรือมาตาบีลี และด้วยความสามารถของท่านใน การสอดแนม การสะกดรอย รวมทั้งความกล้าหาญของท่าน ทำให้ท่านเป็นที่หวาดกลัวของบรรดาชนพื้นเมืองจนถึงกับตั้งฉายาท่านว่า "อิมปีซ่า" (Impeesa) หมายความว่า
"หมาป่าผู้ไม่เคยหลับนอน" และด้วยความสามารถของท่าน ทำให้ท่านได้เลื่อนยศอย่าง รวดเร็ว
ในปี ค.ศ. 1889 อังกฤษมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐทรานสวาล
พันเอก เบเดน-โพเอลล์ ได้รับคำสั่งให้นำทหารม้าสองกองพันเดินทางไปป้องกันเมืองมาฟอีคิง ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะตั้งอยู่ใจกลางของแอฟริกาใต้ ที่นี่เองเป็นสถานที่ที่ทำให้ท่านได้รับชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ในการรักษาเมืองไว้จากเงื้อมมือของข้าศึกที่ล้อมอยู่ด้วยกำลังมากกว่าอย่างมหาศาลไว้ได้ถึง 217 วัน จนกระทั่งกองทหารของอังกฤษได้บุกเข้าไปช่วยเหลือเป็นผลสำเร็จ หลังจากศึกคราวนี้ ท่านได้เลื่อนยศเป็นพลตรี และได้รับการนับถือจากชาวอังกฤษให้เป็นวีรบุรุษ
ในปี ค.ศ. 1901 บี.พี. เดินทางกลับไปยังอังกฤษ และด้วยชื่อเสียงของท่านในฐานะวีรบุรุษ ทำให้หนังสือที่ท่านเขียนขึ้นเพื่อให้ทหารอ่าน ชื่อ "Aids to Scoutting" หรือ "การสอดแนมเบื้องต้น" ได้รับความนิยมจนกระทั่งนำไปใช้เป็นแบบเรียนในโรงเรียนชายมากมาย จุดนี้เอง ทำให้ บี.พี. เกิดประกายความคิดถึงโอกาสที่จะพัฒนาเด็กอังกฤษให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง เพราะถ้าหนังสือสำหรับผู้ใหญ่เกี่ยวกับการปฏิบัติการสอดแนม สามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้ ถ้าท่านทำหนังสือสำหรับเด็กโดยเฉพาะก็คงจะได้ผลมากยิ่งขึ้น
บี.พี. จึงเริ่มศึกษาเรื่องราวของการฝึกอบรมเด็กจากทุกยุคทุกสมัย และนำประสพการณ์ในอินเดีย และแอฟริกา มาดัดแปลง และค่อย ๆ พัฒนาความคิดเกี่ยวกับการลูกเสืออย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1907 ท่านจึงได้รวบรวมเด็กยี่สิบคน ไปพักแรมกับท่านที่เกาะบราวซี (Brownsea) ในช่องแคบอังกฤษ ซึ่งนับเป็นการอยู่ค่ายพักแรมของลูกเสือครั้งแรกของโลก และประสพผลสำเร็จอย่างงดงาม
ต้นปี ค.ศ. 1908 บี.พี. ได้จัดพิมพ์คู่มือการฝึกอบรมขึ้น แบ่งออกเป็นหกตอนในชื่อ "Scoutting for Boys" หรือ "การสอดแนมสำหรับเด็ก" ซึ่งมีภาพประกอบที่เขียนโดยตัวท่านเองอยู่ด้วย เมื่อหนังสือเริ่มวางจำหน่าย แม่แต่ตัวท่านเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่า มันจะเป็นจุดที่ทำให้เกิดกองลูกเสือขึ้นมากมาย ไม่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น แต่แพร่หลายไปในหลาย ๆ ประเทศอีกด้วย
เมื่อกิจการลูกเสือเติบโตขึ้น บี.พี. ได้มองเห็นโอกาสที่จะได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ ด้วยการใช้การลูกเสือบ่มเพาะเด็กรุ่นใหม่ให้เป็นพลเมืองดี แทนที่จะต้องมาฝึกผู้ใหญ่ให้เป็นทหาร ท่านจึงได้ลาออกจากกองทัพในปี ค.ศ. 1910 ขณะที่มียศพันโท เพื่อเดินเข้าสู่ชีวิตที่ท่านเรียกว่า "ชีวิตที่สอง" (Second Life) ที่ให้บริการโลกใบนี้ด้วยกิจการลูกเสือ และได้รับผลรางวัลเป็นความรักและนับถือจากลูกเสือทั่วโลก
ปี ค.ศ. 1912 บี.พี. เดินทางรอบโลกไปพบปะกับลูกเสือในประเทศต่าง ๆ และเริ่มต้นเสริมสร้างการเป็นพี่น้องกันของลูกเสือทั่วโลก น่าเสียดายที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้งานนี้ต้องหยุดชงักลงชั่วขณะ แต่ก็เริ่มสานต่อหลังจากสงครามสิ้นสุดลง
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1920 ก็ได้จัดให้มีการชุมนุมลูกเสือระหว่างประเทศขึ้นในกรุงลอนดอน ซึ่งถือเป็นการชุมนุมลูกเสือโลกเป็นครั้งแรก (1st World Jamboree) และในคืนวันสุดท้ายของการชุมนุม บรรดาลูกเสือที่เข้าร่วมชุมนุมก็ร่วมกันประกาศให้ บี.พี. ดำรงตำแหน่งประมุขของคณะลูกสือโลก (Chief Scout of the World)
และเมื่อกิจการลูกเสือดำเนินมาครบ 21 ปี พระเจ้ายอร์ชที่ 5 ก็ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ท่านเป็นขุนนาง มีชื่อยศว่า Lord Baden Powell of Gilwell
เมื่อ บี.พี. มีอายุครบ 80 ปี กำลังของท่านก็เริ่มทรุดลง ท่านได้กลับไปพักผ่อนในช่วงบั้นปลายชีวิตในแอฟริกาที่ท่านรัก และถึงแก่กรรมในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1941 เมื่อมีอายุ 84 ปี
ต้นปี ค.ศ. 1908 บี.พี. ได้จัดพิมพ์คู่มือการฝึกอบรมขึ้น แบ่งออกเป็นหกตอนในชื่อ "Scoutting for Boys" หรือ "การสอดแนมสำหรับเด็ก" ซึ่งมีภาพประกอบที่เขียนโดยตัวท่านเองอยู่ด้วย เมื่อหนังสือเริ่มวางจำหน่าย แม่แต่ตัวท่านเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่า มันจะเป็นจุดที่ทำให้เกิดกองลูกเสือขึ้นมากมาย ไม่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น แต่แพร่หลายไปในหลาย ๆ ประเทศอีกด้วย
เมื่อกิจการลูกเสือเติบโตขึ้น บี.พี. ได้มองเห็นโอกาสที่จะได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ ด้วยการใช้การลูกเสือบ่มเพาะเด็กรุ่นใหม่ให้เป็นพลเมืองดี แทนที่จะต้องมาฝึกผู้ใหญ่ให้เป็นทหาร ท่านจึงได้ลาออกจากกองทัพในปี ค.ศ. 1910 ขณะที่มียศพันโท เพื่อเดินเข้าสู่ชีวิตที่ท่านเรียกว่า "ชีวิตที่สอง" (Second Life) ที่ให้บริการโลกใบนี้ด้วยกิจการลูกเสือ และได้รับผลรางวัลเป็นความรักและนับถือจากลูกเสือทั่วโลก
ปี ค.ศ. 1912 บี.พี. เดินทางรอบโลกไปพบปะกับลูกเสือในประเทศต่าง ๆ และเริ่มต้นเสริมสร้างการเป็นพี่น้องกันของลูกเสือทั่วโลก น่าเสียดายที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้งานนี้ต้องหยุดชงักลงชั่วขณะ แต่ก็เริ่มสานต่อหลังจากสงครามสิ้นสุดลง
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1920 ก็ได้จัดให้มีการชุมนุมลูกเสือระหว่างประเทศขึ้นในกรุงลอนดอน ซึ่งถือเป็นการชุมนุมลูกเสือโลกเป็นครั้งแรก (1st World Jamboree) และในคืนวันสุดท้ายของการชุมนุม บรรดาลูกเสือที่เข้าร่วมชุมนุมก็ร่วมกันประกาศให้ บี.พี. ดำรงตำแหน่งประมุขของคณะลูกสือโลก (Chief Scout of the World)
และเมื่อกิจการลูกเสือดำเนินมาครบ 21 ปี พระเจ้ายอร์ชที่ 5 ก็ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ท่านเป็นขุนนาง มีชื่อยศว่า Lord Baden Powell of Gilwell
เมื่อ บี.พี. มีอายุครบ 80 ปี กำลังของท่านก็เริ่มทรุดลง ท่านได้กลับไปพักผ่อนในช่วงบั้นปลายชีวิตในแอฟริกาที่ท่านรัก และถึงแก่กรรมในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1941 เมื่อมีอายุ 84 ปี

ค.ศ. 1910 - จัดตั้งกองลูกเสือหญิง (Birl Guide) โดยมีแอกนีส น้องสาวของ บี.พี. เป็นหัวหน้า
ค.ศ. 1911 - จัดตั้งกองลูกเสือสมุทร
ค.ศ. 1912 - บี.พี. เดินทางไปเยี่ยมลูกเสือในประเทศต่าง ๆ รอบโลก
ค.ศ. 1914 - เกิดสงครามโลกครั้งแรก บี.พี. มอบลูกเสือให้ทำหน้าที่ช่วยทหาร เช่น รักษาสะพาน และสายโทรศัพท์
ทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว ช่วยงานในโรงพยาบาล
ค.ศ. 1916 - จัดตั้งกองลูกเสือสำรอง
ค.ศ. 1918 - จัดตั้งกองลูกเสือวิสามัญ (Rover Scout)
ค.ศ. 1919 - ตั้งกิลเวลล์ปาร์ด (Gilwell Park) และเริ่มดำเนินการฝึกอบรมวิชาผู้กำกับลูกเสือขั้นวูดแบดจ์
ค.ศ. 1920 - มีการชุมนุมลูกเสือโลกครั้งแรกที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และ บี.พี. ได้รับเลือกให้เป็นประมุขของ
คณะลูกสือโลก (Chief Scout of the World)
ค.ศ. 1922 - บี.พี. เขียนหนังสือ "Rovering to Success" หรือ "การท่องเที่ยวสู่ความสำเร็จ" ซึ่งเป็นคู่มือสำหรับลูกเสือ
วิสามัญ
ค.ศ. 1926 - จัดตั้งกองลูกเสือพิการ
ค.ศ. 1937 - บี.พี. ได้รับพระราชธานบรรดาศักดิ์เป็น Lord Baden Powell of Gilwell
ค.ศ. 1941 - บี.พี. ถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 84 ปี
คำปฏิญาณของลูกเสือสามัญ
ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า
ข้อ 1 ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ข้อ 2 ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ
ข้อ 3 ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ
กฎของลูกเสือ
1. ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้
2. ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และซื่อตรงต่อผู้มีพระคุณ
3. ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น
4. ลูกเสือเป็นมิตรของคนทุกคนและเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก
5. ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
6. ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์
7. ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดาและผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ
8. ลูกเสือมีใจร่าเริงและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
9. ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์
10. ลูกเสือประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ
พิธีการ ชุมนุมรอบกองไฟ
1. ความมุ่งหมายของการชุมนุมรอบกองไฟ
การชุมนุมรอบกองไฟ มีความมุ่งหมายสำคัญอยู่ ๕ ประการ คือ
(1) เพื่อเป็นการฝึกอบรมในตอนกลางคืน ดังที่ บี-พี ได้ใช้เป็นหลักในการฝึกอบรมเด็กที่ไปอยู่ค่ายพักแรม ณ เกาะบราวน์ซี (2) เพื่อให้ลูกเสือได้ร้องเพลงร่วมกัน หรือแสดงกิริยาอาการอย่างเดียวกัน เป็นการปลุกใจหรือเปลี่ยนอารมณ์ให้เกิดความ
สนุกสนานเบิกบานใจ ภายหลังที่ได้ปฏิบัติงานในเวลากลางวันมาแล้ว
(3) เพื่อให้ลูกเสือแต่ละหมู่ได้มีโอกาสออกมาแสดงรอบกองไฟ เป็นการส่งเสริมความสามัคคีของหมู่ กับให้ลูกเสือแต่ละ
คนในหมู่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น และกล้าแสดงออกในที่ประชุมโดยไม่เก้อเขิน
(4) ในบางกรณี อาจใช้เป็นโอกาสสำหรับประกอบพิธีสำคัญ เช่น แนะนำให้ลูกเสือรู้จักผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด หรือ
เจ้าหน้าที่คนใหม่ แขกสำคัญที่มาเยี่ยม มอบเครื่องหมายวูดแบดจ์ เครื่องหมายตอบแทน เข็มสมนาคุณ หรือ
ประกาศนียบัตรต่างๆ เป็นต้น
(5) ในบางกรณีอาจเชิญบุคคลสำคัญในท้องถิ่น ตลอดจนชาวบ้านให้มาร่วมการชุมนุมรอบกองไฟ เพื่อเป็นการ
ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมกิจการลูกเสือ
1. ความมุ่งหมายของการชุมนุมรอบกองไฟ
การชุมนุมรอบกองไฟ มีความมุ่งหมายสำคัญอยู่ ๕ ประการ คือ
(1) เพื่อเป็นการฝึกอบรมในตอนกลางคืน ดังที่ บี-พี ได้ใช้เป็นหลักในการฝึกอบรมเด็กที่ไปอยู่ค่ายพักแรม ณ เกาะบราวน์ซี (2) เพื่อให้ลูกเสือได้ร้องเพลงร่วมกัน หรือแสดงกิริยาอาการอย่างเดียวกัน เป็นการปลุกใจหรือเปลี่ยนอารมณ์ให้เกิดความ
สนุกสนานเบิกบานใจ ภายหลังที่ได้ปฏิบัติงานในเวลากลางวันมาแล้ว
(3) เพื่อให้ลูกเสือแต่ละหมู่ได้มีโอกาสออกมาแสดงรอบกองไฟ เป็นการส่งเสริมความสามัคคีของหมู่ กับให้ลูกเสือแต่ละ
คนในหมู่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น และกล้าแสดงออกในที่ประชุมโดยไม่เก้อเขิน
(4) ในบางกรณี อาจใช้เป็นโอกาสสำหรับประกอบพิธีสำคัญ เช่น แนะนำให้ลูกเสือรู้จักผู้อำนวยการลูกเสือจังหวัด หรือ
เจ้าหน้าที่คนใหม่ แขกสำคัญที่มาเยี่ยม มอบเครื่องหมายวูดแบดจ์ เครื่องหมายตอบแทน เข็มสมนาคุณ หรือ
ประกาศนียบัตรต่างๆ เป็นต้น
(5) ในบางกรณีอาจเชิญบุคคลสำคัญในท้องถิ่น ตลอดจนชาวบ้านให้มาร่วมการชุมนุมรอบกองไฟ เพื่อเป็นการ
ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมกิจการลูกเสือ
2. บริเวณการชุมนุมรอบกองไฟ
ค่ายลูกเสือทุกแห่งควรมีบริเวณสำหรับการชุมนุมรอบกองไฟ บริเวณเช่นว่านี้ควรอยู่ที่มุมหนึ่งของค่าย มีต้นไม้เป็นฉากหลัง ไม่ใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นในเวลากลางวัน และควรอยู่ห่างจากที่พักพอสมควร ทั้งนี้เพื่อให้ลูกเสือจำเป็นต้องเดินจากที่พักไปยังบริเวณการชุมนุมรอบกองไฟ และต้องเดินกลับเมื่อการชุมนุมเลิกแล้ว ส่วนการที่เสนอแนะว่าบริเวณการชุมนุมรอบกองไฟควรมีต้นไม้เป็นฉากหลังนั้น เป็นเพราะในระหว่างการชุมนุมรอบกองไฟย่อมจะมีการร้องเพลงหมู่เป็นส่วนใหญ่ และการร้องเพลงกลางแจ้งถ้าไม่มีฉากหลัง เช่น การร้องเพลงกลางทุ่งที่ไม่มีต้นไม้เลย ถึงแม้จะร้องเพลงไพเราะอย่างไรก็ตามย่อมไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่ถ้ามีต้นไม้เป็นฉากหลังจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น และจะทำให้การร้องเพลงได้ผลดียิ่งขึ้นด้วย
ค่ายลูกเสือทุกแห่งควรมีบริเวณสำหรับการชุมนุมรอบกองไฟ บริเวณเช่นว่านี้ควรอยู่ที่มุมหนึ่งของค่าย มีต้นไม้เป็นฉากหลัง ไม่ใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นในเวลากลางวัน และควรอยู่ห่างจากที่พักพอสมควร ทั้งนี้เพื่อให้ลูกเสือจำเป็นต้องเดินจากที่พักไปยังบริเวณการชุมนุมรอบกองไฟ และต้องเดินกลับเมื่อการชุมนุมเลิกแล้ว ส่วนการที่เสนอแนะว่าบริเวณการชุมนุมรอบกองไฟควรมีต้นไม้เป็นฉากหลังนั้น เป็นเพราะในระหว่างการชุมนุมรอบกองไฟย่อมจะมีการร้องเพลงหมู่เป็นส่วนใหญ่ และการร้องเพลงกลางแจ้งถ้าไม่มีฉากหลัง เช่น การร้องเพลงกลางทุ่งที่ไม่มีต้นไม้เลย ถึงแม้จะร้องเพลงไพเราะอย่างไรก็ตามย่อมไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่ถ้ามีต้นไม้เป็นฉากหลังจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น และจะทำให้การร้องเพลงได้ผลดียิ่งขึ้นด้วย
3. กองไฟและการจัดที่นั่งรอบกองไฟ
กองไฟที่ก่อด้วยไม้จริงในปัจจุบันนี้ เรื่องสิ่งแวดล้อมกำลังมีปัญหาต่อมนุษยโลก จึงไม่สนับสนุน ควรที่จะใช้ไฟอย่างอื่นแทน แต่ถ้าบางกรณีที่จะใช้กองไฟจากฟืน ให้พิจารณาเศษไม้ที่ทิ้งไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ก็คงอนุโลมได้ ถ้าเป็นกองไฟจริงจะต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำกองไฟและผู้ช่วย มีหน้าที่ก่อไฟให้เรียบร้อยก่อนทำพิธีเปิด คือ จุดให้ไฟติดและจะต้องคอยดูแลกองไฟให้สว่างพอสมควรอยู่ตลอดเวลา โดยเตรียมฟืนและน้ำสำรองเอาไว้ คือ ถ้าไฟชักมอดลงจะต้องเติมฟืนลงไป และถ้าไฟลามมากหรือกระเด็นออก ก็ต้องพรมน้ำลงไป สำหรับในกรณีนี้เมื่อจบการชุมนุมรอบกองไฟผู้เข้าร่วมการชุมนุมรอบกองไฟ และเจ้าหน้าที่ประจำกองไฟจะต้องออกจากบริเวณไปอย่างเงียบๆ ภายหลังอีกสักครู่เจ้าหน้าที่ประจำกองไฟและผู้ช่วยต้องหวนกลับมาที่บริเวณการชุมนุมรอบกองไฟอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจัดการกับกองไฟให้เรียบร้อย ยิ่งกว่านั้นในตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ประจำกองไฟต้องมาดูแลสถานที่อีกครั้งหนึ่งให้สะอาดเรียบร้อย ไม่ให้มีเศษไม้หรือเถ้าถ่านเหลืออยู่
เรื่องการทำความสะอาดบริเวณการชุมนุมรอบกงไฟนี้ ไม่ควรถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ควรถือว่าเป็นบทเรียนอันสำคัญในการฝึกอบรมลูกเสือส่วนหนึ่งในทางปฏิบัติเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ประจำกองไฟนี้ ควรมอบหมายลูกเสือหมู่หนึ่งหรือมากกว่าให้ทำหน้าที่หมู่ลูกเสือบริการ เพื่อดูแลกองไฟและปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
การจัดที่นั่งรอบกองไฟนั้น ควรจัดให้เป็นรูปวงกลมหรือเกือกม้า ให้กองไฟอยู่ตรงกลาง มีที่นั่งพิเศษสำหรับประธาน ผู้ติดตาม และผู้มาร่วมงานซึ่งต้องจัดไว้ทางด้านเหนือลม ที่นั่งของประธานเป็นที่นั่งเดี่ยว ตั้งอยู่ล้ำหน้าที่นั่งของผู้ติดตาม ๒ คน ซึ่งนั่งอยู่ด้านขวาและด้านซ้ายใกล้กับประธาน สำหรับที่นั่งของผู้มาร่วมงาน ให้จัดอยู่ด้านหลังของประธานและผู้ติดตาม ส่วนผู้ร่วมการแสดง โดยปกติให้นั่งเรียงตามลำดับหมู่เหมือนการประชุมรอบเสาธงตอนเช้า การแต่งกายให้แต่งตามเนื้อเรื่องที่จะแสดง ไม่ต้องมีผ้าผูกคอ ป้ายชื่อ เพื่อเป็นที่สังเกตให้นายหมู่ นำธงหมู่ไปด้วย
4. การเตรียมการก่อนเริ่มการชุมนุมรอบกองไฟ
(1) คณะผู้ให้การฝึกอบรมจะต้องปรึกษาหารือกันเพื่อกำหนดว่า ในการชุมนุมรอบกองไฟนั้นจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง จะให้
ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ประจำกองไฟ ผู้ใดเป็นพิธีกรและจะเชิญผู้ใดเป็นประธาน ถ้าเป็นการอยู่ค่ายพักแรมของลูกเสือตาม
ธรรมดา โดยปกติผู้กำกับลูกเสือที่พาลูกเสือไปอยู่ค่ายพักแรมนั่นเองจะทำหน้าที่ประธาน และให้รองผู้กำกับลูกเสือ
หรือลูกเสือคนใดคนหนึ่งที่มีความรู้ความสามารถทำหน้าที่พิธีกร
ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่ประจำกองไฟ ผู้ใดเป็นพิธีกรและจะเชิญผู้ใดเป็นประธาน ถ้าเป็นการอยู่ค่ายพักแรมของลูกเสือตาม
ธรรมดา โดยปกติผู้กำกับลูกเสือที่พาลูกเสือไปอยู่ค่ายพักแรมนั่นเองจะทำหน้าที่ประธาน และให้รองผู้กำกับลูกเสือ
หรือลูกเสือคนใดคนหนึ่งที่มีความรู้ความสามารถทำหน้าที่พิธีกร
(2) พิธีกร คือ ผู้นำในการชุมนุมรอบกองไฟ มีหน้าที่ในการนำประธานมาสู่ที่ชุมนุม ประกาศลำดับกำหนดการต่างๆ เป็น
ผู้นำหรือมอบหมายให้ผู้อื่นเป็นผู้นำในการร้องเพลง และในการให้ลูกเสือแสดงกิริยาอาการต่างๆ เพื่อเป็นการเปลี่ยน
อารมณ์ให้เกิดความสนุกสนานเบิกบานใจ ในการนี้พิธีกรควรทำรายละเอียดสำหรับตนเองไว้ว่า จะให้ผู้ใดทำอะไร
เช่น จะให้ร้องเพลงอะไร หรือจะรำวงโดยร้องเพลงอะไร ดังนี้เป็นต้น ในการเลือกเพลงที่จะนำมาใช้นั้น ควรเลือก
เพลงที่ทุกคนร้องได้ เมื่อเริ่มเปิดการชุมนุมใช้เพลงปลุกใจหรือเพลงที่มีจังหวะหรือเนื้อเพลงยั่วยุให้ดี เช่น เพลง “ไทย
รวมกำลังตั้งมั่น” เพลง “แหลมทอง” เพลง “รักเมืองไทย” ตอนท้ายของการชุมนุม หลังจากจบทุกรายการแล้ว ก่อนที่
จะเชิญประธานในพิธีกล่าวปิด ให้เป็นเพลงจังหวะช้า เป็นคติ เพลงลา ซึ่งผู้ร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ร้องได้ เช่น สร้อย
เพลง ลาวดวงเดือน ฯลฯ โดยไม่ใช้เครื่องขยายเสียงและ เครื่องดนตรีใดๆ เป็นการสร้างบรรยากาศให้ซาบซึ้งตรึงใจ
โน้มน้าวให้มีอารมณ์ที่จะได้ฟังการกล่าวปิดของประธานในพิธี
ผู้นำหรือมอบหมายให้ผู้อื่นเป็นผู้นำในการร้องเพลง และในการให้ลูกเสือแสดงกิริยาอาการต่างๆ เพื่อเป็นการเปลี่ยน
อารมณ์ให้เกิดความสนุกสนานเบิกบานใจ ในการนี้พิธีกรควรทำรายละเอียดสำหรับตนเองไว้ว่า จะให้ผู้ใดทำอะไร
เช่น จะให้ร้องเพลงอะไร หรือจะรำวงโดยร้องเพลงอะไร ดังนี้เป็นต้น ในการเลือกเพลงที่จะนำมาใช้นั้น ควรเลือก
เพลงที่ทุกคนร้องได้ เมื่อเริ่มเปิดการชุมนุมใช้เพลงปลุกใจหรือเพลงที่มีจังหวะหรือเนื้อเพลงยั่วยุให้ดี เช่น เพลง “ไทย
รวมกำลังตั้งมั่น” เพลง “แหลมทอง” เพลง “รักเมืองไทย” ตอนท้ายของการชุมนุม หลังจากจบทุกรายการแล้ว ก่อนที่
จะเชิญประธานในพิธีกล่าวปิด ให้เป็นเพลงจังหวะช้า เป็นคติ เพลงลา ซึ่งผู้ร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ร้องได้ เช่น สร้อย
เพลง ลาวดวงเดือน ฯลฯ โดยไม่ใช้เครื่องขยายเสียงและ เครื่องดนตรีใดๆ เป็นการสร้างบรรยากาศให้ซาบซึ้งตรึงใจ
โน้มน้าวให้มีอารมณ์ที่จะได้ฟังการกล่าวปิดของประธานในพิธี
(3) เมื่อได้กำหนดให้มีการชุมนุมรอบกองไฟ เวลาใด ต้องนัดหมายให้ทุกคนไปถึงที่ชุมนุมและนั่งตามที่ให้เรียบร้อยก่อน
เวลาประมาณ ๑๐ นาที หมู่บริการจุดไฟก่อนที่จะเชิญประธานเข้ามาในพิธี พิธีกรแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าประธาน
และผู้ติดตามเป็นใคร แล้วออกไปเชิญประธานเข้ามายังบริเวณการชุมนุมรอบกองไฟ พิธีกร ต้องนัดหมายเวลาที่
ประธานจะเดินทางไปถึงบริเวณรอบนอกสถานที่ชุมนุมเวลาใด ทบทวนซักซ้อมการปฏิบัติมีขั้นตอนอย่างใด ผู้ติดตาม
ประธานจะปฏิบัติอย่างไร ยืนอยู่ตรงไหน เมื่อประธานกล่าวเปิดแล้วจะร้องเพลงกี่เพลง เพลงอะไรบ้าง
เวลาประมาณ ๑๐ นาที หมู่บริการจุดไฟก่อนที่จะเชิญประธานเข้ามาในพิธี พิธีกรแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าประธาน
และผู้ติดตามเป็นใคร แล้วออกไปเชิญประธานเข้ามายังบริเวณการชุมนุมรอบกองไฟ พิธีกร ต้องนัดหมายเวลาที่
ประธานจะเดินทางไปถึงบริเวณรอบนอกสถานที่ชุมนุมเวลาใด ทบทวนซักซ้อมการปฏิบัติมีขั้นตอนอย่างใด ผู้ติดตาม
ประธานจะปฏิบัติอย่างไร ยืนอยู่ตรงไหน เมื่อประธานกล่าวเปิดแล้วจะร้องเพลงกี่เพลง เพลงอะไรบ้าง
(4) ในการชุมนุมรอบกองไฟ ถือว่าเป็นบทเรียนบทหนึ่ง ฉะนั้น ในขณะมีการชุมนุมรอบกองไฟจึงมีข้อกำหนดว่าทุกคน
ที่ร่วมอยู่ในการชุมนุมรอบกองไฟ “ห้ามสูบบุหรี่” หากงดไม่ได้จริงๆ ให้หลบออกไปสูบนอกที่ชุมชนได้ชั่วคราว
พิธีกรหรือผู้บรรยาย จะต้องชี้แจงนัดหมายการปฏิบัติขั้นตอนมอบงานให้รับผิดชอบว่า
ที่ร่วมอยู่ในการชุมนุมรอบกองไฟ “ห้ามสูบบุหรี่” หากงดไม่ได้จริงๆ ให้หลบออกไปสูบนอกที่ชุมชนได้ชั่วคราว
พิธีกรหรือผู้บรรยาย จะต้องชี้แจงนัดหมายการปฏิบัติขั้นตอนมอบงานให้รับผิดชอบว่า
- การแสดงให้แสดงเป็นหมู่ ให้ทุกคนในหมู่มีโอกาสแสดงโดยทั่วกัน ใช้เวลาหมู่ละประมาณ ๘ -๑๐ นาที โดยปกติ ให้ส่งเรื่องต่อพิธีกรก่อนเวลานัดหมายแสดงไม่น้อยกว่า ๑ ชั่วโมง เพื่อพิธีกรจะได้มีเวลาจัดกำหนดการให้เหมาะสม
- เรื่องที่ควรแสดงคือเรื่องสนุกขบขัน ขนบธรรมเนียมประเพณี ประวัติศาสตร์ และเรื่องที่เป็นคติเตือนใจต่างๆ ส่วนเรื่องที่ไม่ควรแสดงคือ เรื่องไร้สาระ เช่น ผีสาง เรื่องลามก อนาจาร เรื่องเสียดสีสังคมหรือบุคคล เรื่องเกี่ยวกับการเมืองหรือเรื่องล้อเลียนศาสนา เป็นต้น
- เพลงประจำหมู่ ให้แต่ละหมู่แต่งเพลงประจำหมู่ให้มีชื่อหมู่เนื้อร้องเป็นการสร้างสรรค์ เช่น เป็นคติปลุกใจ ความรัก ความสามัคคี ระเบียบ วินัย เพื่อที่จะร้องก่อนการแสดงของหมู่
- การจัดสถานที่ชุมนุม การทำสลาก ทำพวงมาลัย ก่อกองไฟ และดูแลตามปกติเป็นหน้าที่ของหมู่บริการประจำวัน และหมู่บริการที่พ้นหน้าที่ในวันนั้นแบ่งหน้าที่กันทำ
5. พิธีเปิดการชุมนุมรอบกองไฟ
เมื่อประธานเข้ามาในบริเวณการชุมนุมรอบกองไฟ พิธีกรสั่งให้ทุกคนตรงด้วยคำว่า “ทั้งหมด-ตรง” หรือ กอง-ตรง หรือ แพค-ตรง แล้ว ประธานจะหยุดรับการเคารพแล้วเดินไปยืนหน้ากองไฟ ยกมือขวาแสดงรหัสของลูกเสือชูขึ้นไปข้างหน้าประมาณ ๔๕ องศา กล่าวข้อความที่เป็นมงคลและกล่าวในตอนสุดท้ายว่า “ข้าพเจ้าขอเปิดการชุมนุมรอบกองไฟ ณ บัดนี้” และคงยืนอยู่ ณ ที่เดิมจนจบเพลงที่ได้รับทราบจากการนัดหมายของพิธีกรแล้วจึงกลับไปยังที่นั่ง
ในตอนนี้ผู้ติดตามประธานและผู้ร่วมงาน ตลอดจนเจ้าหน้าที่บางคนอาจเดินตามประธานเข้ามา ทุกคนเข้าไปยืนยังที่ของตนขณะที่ประธานหยุดรับการเคารพ มีประธานแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่เดินตรงเข้าไปใกล้กองไฟ เมื่อประธานกลับมานั่งยังที่นั่งซึ่งจัดไว้ ทุกคนนั่งลง
เมื่อประธานกล่าวในตอนสุดท้ายว่า “ข้าพเจ้าขอเปิดการชุมนุมรอบกองไฟ ณ บัดนี้” พิธีกรให้สัญญาณให้ทุกคนร้องเป็นเสียงไฟลุกว่า “ฟู่ๆ” ๓ ครั้ง
พิธีกรนำร้องเพลง ๑ หรือ ๒ เพลง เช่นเพลงสยามมานุสติ เพลงสดุดีมหาราชา เป็นต้น
เมื่อเพลงจบประธานกลับไปนั่งแล้ว ให้ทุกคนนั่งลง
หมู่บริการจะนำพวงมาลัยและพุ่มสลากชื่อของหมู่สำหรับประธานจับลำดับการแสดงไปให้ประธาน โดยให้มีขบวนแห่ นำโดยหมู่บริการที่จัดทำพวงมาลัยและพุ่มสลาก ทั้งหมู่เป็นต้นขบวน ถ้าจำนวนผู้เข้าร่วมมีจำนวนน้อยให้หมู่อื่นๆเข้าร่วมด้วย แต่ถ้ามีจำนวนมากก็ไม่จำเป็น จะทำให้เกิดการสับสน ต้นขบวนให้ยืนอยู่ด้านหน้าข้างขวาของผู้เป็นประธาน คนที่ถือพวงมาลัยยืนทางขวา คนถือพุ่มสลากยืนทางซ้าย ขบวนเริ่มออกเดินเมื่อพิธีกรเริ่มร้องเพลง การเดินให้เวียนขวาครบ ๓ รอบ ผู้ถือพวงมาลัยและพุ่มสลากยืนตรงหน้าประธาน ทุกคนในขบวนกลับเข้านั่งที่เรียบร้อย ผู้ถือพวงมาลัยมอบให้ประธานเป็นคนแรก คนถือพุ่มสลากมอบทีหลัง เสร็จแล้วกลับที่นั่ง
6. ลำดับการชุมนุมรอบกองไฟ
พิธีกรเป็นผู้ประกาศกำหนดการชุมนุมรอบกองไฟตามลำดับ ในขั้นแรกก่อนมีการแสดงของหมู่ พิธีกรอาจนำหรือให้ผู้อื่นนำร้องเพลงอีก ๑ หรือ ๒ เพลง เช่น เพลงประจำจังหวัด เพลงสถาบัน เพลงรักเมืองไทย หรือเพลงความฝันอันสูงสุด เป็นต้น แล้วจึงไปขอให้ประธานจับสลากว่าจะให้หมู่ใดแสดงก่อน หมู่ใดจะแสดงให้นายหมู่ยืนขึ้น (อยู่กับที่ไม่ต้องออกมายืนตรงหน้าประธาน) โดยสั่งว่า “หมู่..(กลุ่ม)..ตรง” นายหมู่ทำวันทยหัตถ์ (ถ้ามีไม้พลองหรือไม้ง่ามทำวันทยาวุธ) แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นร้องเพลงประจำหมู่ เมื่อร้องเพลงประจำหมู่จบจึงเริ่มแสดง เมื่อแสดงจบให้กลับไปยืนที่เดิมและสั่งอีกว่า “หมู่…(กลุ่ม)..ตรง” นายหมู่ทำความเคารพเช่นเดิม
เมื่อการแสดงของหมู่จบลง พิธีกรจะขอให้ใครคนหนึ่งกล่าวนำชมเชยแบบลูกเสือ (YELL) ประกอบท่าทางให้แก่หมู่ที่แสดง เพื่อเป็นการแสดงความพอใจและขอบคุณผู้แสดง ด้วยถ้อยคำหรือท่าทางที่สร้างสรรค์ ๓ ครั้ง หลังจากนั้นหมู่แสดงต้องกล่าวตอบสั้นๆ ๑ ครั้ง ครั้นแล้วพิธีกรก็ดำเนินการต่อไปตามกำหนดการและจัดให้มีการแสดงของหมู่ต่างๆ ตามลำดับ เมื่อการแสดงของหมู่หนึ่งจบแล้ว ก่อนจะให้เริ่มการแสดงของหมู่ต่อไป พิธีกรอาจนำร้องเพลง หรือการเปลี่ยนอิริยาบถมาสลับเป็นตอนๆ ตามที่เห็นสมควร หรือจะให้ผู้ใดนำแทนก็ได้โดยตกลงกันไว้ก่อน
เมื่อจบการแสดงของทุกหมู่ตามที่กำหนดไว้แล้ว พิธีกรจะนำร้องเพลงที่มีจังหวะช้าๆ และมีความหมายแก่มวลสมาชิก เช่น เพลงสร้อยเพลงหรือเพลงลาวดวงเดือน ๑ จบ จากนั้นพิธีกรจะเชิญประธานออกไปกล่าวเรื่องสั้นที่เป็นคติ และกล่าวปิดการชุมนุมรอบกองไฟ ไม่ต้องยกมือขึ้นแสดงรหัส
เมื่อประธานกล่าวในตอนสุดท้ายว่า “ข้าพเจ้าขอปิดการชุมนุมรอบกองไฟ ณ บัดนี้”
พิธีกรสั่ง “กอง-ตรง” ให้ทุกคนยืนขึ้นจับมือกันเป็นวงกลม (มือขวาทับมือซ้าย) แล้วร้องเพลงสามัคคีชุมนุม เมื่อจบเพลงสามัคคีชุมนุมแล้ว หมู่บริการนำสวดมนต์ แล้วร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นทุกคนแยกย้ายกันออกนอกบริเวณ กลับที่พักอย่างสงบโดยไม่ส่งเสียงเอะอะ ส่วนหมู่บริการ จะกลับมาดับไฟและทำความสะอาด ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น
7. การเปลี่ยนอิริยาบถของผู้เข้าชุมนุม
ในการชุมนุมรอบกองไฟ การเปลี่ยนอิริยาบถของผู้เข้าชุมนุมให้สนุกสนานร่าเริงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมิฉะนั้นผู้เข้าชุมนุมอาจจะรู้สึกเบื่อและง่วงเหงาหาวนอน การเปลี่ยนอิริยาบถของผู้เข้าชุมนุมนี้อาจทำได้หลายวิธี ตามแต่โอกาสอันเหมาะสม และเป็นหน้าที่ของพิธีกรที่จะต้องเป็นผู้นำหรือมอบหมายให้ผู้รู้คนใดคนหนึ่งเป็นผู้นำ เช่น นำให้ร้องเพลง นำให้แสดงกิริยาอาการต่างๆ ที่ขบขันหรือปลุกให้ตื่น เช่น ให้ร้องเพลง “หากว่าเรากำลังสบาย จงตบมือพลัน” หรือจัดให้มีการรำวงหรือนำตบมือเป็นจังหวะ แล้วให้ผู้อื่นตบตาม ฯลฯ
8.เมื่อมีผู้มาเยี่ยมเยียน
ในกรณีที่จะมีบุคคลมาเยี่ยมเป็นหน้าที่พิธีกรจะจัดที่นั่งอันเหมาะสมให้ และขอทราบความประสงค์ แล้วจัดให้นำสิ่งของมอบให้ในระหว่างจบการแสดงของหมู่หนึ่งหมู่ใด โดยมอบให้กับประธานในพิธีซึ่งประธานอาจรับไว้ แล้วให้ผู้แทนของหมู่รับต่อไป พิธีกรจัดให้มีผู้แทนกล่าวชมเชยตามแบบลูกเสือ
ตัวอย่างคำกล่าวเปิดการชุมนุมรอบกองไฟ
1. ด้วยจิตใจอันดีและสปิริตอันสูงของลูกเสือที่มาชุมนุม ณ กองไฟนี้ จากทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ข้าพเจ้าขอเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงมาเป็นสักขีพยานในการชุมนุมรอบกองไฟนี้ จงนำโชคดีมาสู่ท่าน และขอให้กิจการลูกเสือจงเจริญรุ่งโรจน์เหมือนแสงไฟอันรุ่งโรจน์ สิ่งไม่ดีไม่งามทั้งหลายขอจงมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในกองไฟนี้
พี่น้องลูกเสือทั้งหลาย บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าขอเปิดชุมนุมรอบกองไฟ ณ บัดนี้
2. จากแสงไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ ณ บัดนี้ เปรียบประดุจกิจการของลูกเสือที่รุ่งโรจน์ ส่วนเถ้าถ่านที่มอดดับเหมือนกับสิ่งที่เราทำผิดพลาดไว้ขอให้สลายไป ถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าขอเปิดการชุมนุมรอบกองไฟ ณ บัดนี้
3. ขอเดชะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก จงดลบันดาลให้กิจการลูกเสือเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปทั้ง 4 ทิศ
ดุจเปลวเพลิง ที่ส่องแสงสว่างรุ่งโรจน์อยู่นี้ บัดนี้เป็นวาระฤกษ์อันควรเปิดการชุมนุมรอบกองไฟแล้ว ข้าพเจ้าขอเปิดการชุมนุมรอบกองไฟ

การเดินทางไกล
หมายถึง การเดินทางของลูกเสือ-เนตรนารีสามัญจากที่ตั้งหรือโรงเรียนไปยังจุดที่กำหนด โดยมีระยะทางที่กำหนดให้ การเดินทางไกลอาจจะเป็นการเดินทางด้วยเท้า จักรยานหรือเรือพายก็ได้ การเดินทางจะเดินทางคนเดียวหรือเป็นหมู่คณะก็ได้
การเดินทางไกลของลูกเสือ-เนตรนารีเอก จะต้องเดินทางไกลด้วยเท้าหรือทางเรือด้วยความสามารถของตนเอง เป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร ลูกเสือ-เนตรนารีสามัญจึงต้องเลือกเดินทางไกลด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง การเดินทางไกลระยะทาง 20 กิโลเมตรนี้เป็นระยะทางที่ไกลพอสมควรสำหรับลูกเสือ-เนตรนารีสามัญ จึงจำเป็นจะต้องเตรียมตัวในการเดินทงให้พร้อม
หมายถึง การเดินทางของลูกเสือ-เนตรนารีสามัญจากที่ตั้งหรือโรงเรียนไปยังจุดที่กำหนด โดยมีระยะทางที่กำหนดให้ การเดินทางไกลอาจจะเป็นการเดินทางด้วยเท้า จักรยานหรือเรือพายก็ได้ การเดินทางจะเดินทางคนเดียวหรือเป็นหมู่คณะก็ได้
การเดินทางไกลของลูกเสือ-เนตรนารีเอก จะต้องเดินทางไกลด้วยเท้าหรือทางเรือด้วยความสามารถของตนเอง เป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร ลูกเสือ-เนตรนารีสามัญจึงต้องเลือกเดินทางไกลด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง การเดินทางไกลระยะทาง 20 กิโลเมตรนี้เป็นระยะทางที่ไกลพอสมควรสำหรับลูกเสือ-เนตรนารีสามัญ จึงจำเป็นจะต้องเตรียมตัวในการเดินทงให้พร้อม
การเตรียมอุปกรณ์สำหรับเดินทางไกลและอยู่ค่ายพักแรม
ในการเดินทางไกลลูกเสือ-เนตรนารีสามัญจะต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่เครื่องใช้ประจำตัว เครื่องใช้ประจำหมู่ เครื่องใช้ในการฝึก รายการอาหารและบรรจุสิ่งของเหล่านี้ลงในเครื่องหลังหรือกระเป๋าให้เรียบร้อย
ในการเดินทางไกลลูกเสือ-เนตรนารีสามัญจะต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่เครื่องใช้ประจำตัว เครื่องใช้ประจำหมู่ เครื่องใช้ในการฝึก รายการอาหารและบรรจุสิ่งของเหล่านี้ลงในเครื่องหลังหรือกระเป๋าให้เรียบร้อย
เครื่องใช้ประจำตัว
เครื่องใช้ประจำตัวที่ลูกเสือ-เนตรนารีสามัญควรนำไปในการเดินทางไกล มีดังนี้1. กระติกน้ำ ล้างให้สะอาด ใส่น้ำให้เต็ม
2. เครื่องใช้ประจำตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า สบู่ แปรงสีฟัน เข็มเย็บผ้า ด้ายเย็บผ้า เข็มซ่อนปลาย เชือกผูกเงือน เสื้อ กางเกง
ผ้าขาวม้า รองเท้าแตะ ไฟฉาย ช้อน ส้อม และจาน เป็นต้น
3. เครื่องแบบและเครื่องประกอบเครื่องแบบ ได้แก่ เสื้อ กางเกง ผ้าพันคอ หมวก เข็มขัด รองเท้า และเครื่องหมายต่างๆ
ถุงเท้าและรองเท้าต้องตรวจให้อยู่ในสภาพดี ไม่ควรใช้รองเท้าใหม่ เพราะจะกัดเท้า หากจำเป็นต้องใช้รองเท้าใหม่
ควรใช้เทียนไขถูบริเวณส้นรองเท้าบริเวณขอบด้านในก่อน จะช่วยป้องกันไม่ให้รองเท้ากัดได้
4. ไฟฉาย ช้อนส้อม จานข้าว
5. ยาประจำตัวและอุปกรณ์การปฐมพยาบาล
6. เข็มทิศ แผนที่ สมุดจดบันทึกการเดินทาง ปากกา ดินสอ
7. เครื่องนอนต่างๆ เช่น เต็นท์ ผ้าปูนอน ผ้าห่ม
8. ถ้าเดินทางไกลฤดูฝนควรมีเสื้อกันฝน
9. เตรียมเชือก เพื่อใช้ผูกรัดสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ
10. ไม้พลองหรือไม้ง้าม
ทบทวนด้วยนะครับ อาจารย์จาจถาม !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น